“สัมมากร” คาดตลาดอสังหาฯปี60เติบโต 5% ชี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขยับ ปัญหาการแบงก์ปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ เร่งปรับแผนรับมือรีเจกต์เรต ให้ลูกค้าจองซื้อที่อยู่อาศัยแทนทำสัญญาก่อนแบงก์จะอนุมัติ ป้องกันการถูกปฏิเสธสินเชื่อ เผยแผนลงทุนปีนี้ลุยผุดโครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า2,300 ล้านบาท พร้อมจ้างที่ปรึกษา 30 ล้านบาท ดูแลปรับแบรนด์ คอมมูนิตี้มอลล์ “สัมมากร เพลส”

นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้มีปัจจัยหลายด้านที่ต้องติดตาม ทั้งอัตราดอกเบี้ย จากสถาบันการเงินซึ่งอยู่ในช่วงขาขึ้นอาจทำให้ศักยภาพในการผ่อนชำระของลูกค้าลดลง การบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เลื่อนไปใช้ในปี 2561 แม้จะมีผลกระทบไม่มากนัก แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน่าจะเป็นกลุ่มคนรวยที่มีที่ดินในเมือง รวมถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2562
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% ซึ่งในด้านการปล่อยสินเชื่อ คาดธนาคารพาณิชย์ยังคงมีแนวโน้มเข้มงวดในการพิจารณา เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ปัจจุบันจะเริ่มขยับลดลงแล้วก็ตาม ทั้งนี้จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 82% และ โดยในปี 59 มีหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ ระดับ81% และคาดว่าปีนี้จะขยับลงอีกเล็กน้อย เนื่องจากหนี้ในโครงการรถคันแรกจะเริ่มครบกำหนดส่วนหนึ่งในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทมีความระมัดระวังในเรื่องการปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยรายย่อยค่อนข้างมาก ดังนั้นแม้ว่าในปีที่ผ่านมาตัวเลขจะเพิ่มขึ้นสูงขึ้น โดยเฉพาะยอดการปฏิเสธสินเชื่อในกลุ่มคอนโดมิเนียม ซึ่งมีอยู่สูงถึง35-38% ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ มียอดการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 20% โดยหนี้ครัวเรือนและตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) เป็นปัญหาที่ภาคการเงินยังคงให้ความสำคัญที่สถาบันการเงินนำมาใช้ในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้บริโภค

ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อในปีนี้ “สัมมากร” จึงได้ปรับวิธีการขาย เพื่อป้องกันผลกระทบกับรายได้และความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้า ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนในการทำตลาดใหม่ โดยปรับให้ลูกค้าจองซื้อ ก่อนทำสัญญา และให้ดำเนินการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือ พรีแอบพรูฟก่อน ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ารายอื่นจองซื้อยูนิตเดิมได้เช่นกัน เพื่อบริหารความเสี่ยงการขายหากลูกค้ารายแรกถูกปฎิเสธสินเชื่อ นอกจากนี้ บริษัทเน้นสร้างบ้านเสร็จก่อนขาย ซึ่งนับเป็นรายได้ทีนทีหลังปิดการขายแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าปัญหาการปฎิเสธสินเชื่อปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น แต่จากสถานการเงินยังคงเข้มงวดอยู่ โดยบางสถานบันการเงิน ถ้าเป็นพนักงานประจำให้กู้ได้100% หากเป็นกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย(เอสเอ็มอี) จะให้วงเงินแค่ 70 % ต้องหาเงินมาชะรำส่วนที่ขาด ทำให้ไม่มีกำลังการกู้ คงทำให้ยอดการปฎิบัติสินเชื่อยังสูงต่อ
สำหรับแผนลงทุนในปีนี้ ได้เตรียมแผนลงทุนโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสัมมากร อเวนิว สุวรรณภูมิ บนพื้นที่ 31 ไร่ พัฒนาเป็นทาวน์โฮมสูง3 ชั้น จำนวน 322 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 3 ล้านบาท มูลค่า 1,300 ล้านบาท โครงการสัมมากร อเวนิว ชัยพฤกษ์-วงแหวน ทาวน์โฮม จำนวน 292 ยูนิต บนพื้นที่ 27 ไร่ มูลค่าโครงการ 876 ล้านบาท และโครงการออฟฟิศ พาร์ค รามอินทรา-วงแหวน เป็นโฮม ออฟฟิศโครงการแรกที่เข้ามาพัฒนาในรูปแบบโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น จำนวน 24 ยูนิต บนพื้นที่ 3 ไร่ มูลค่าโครงการ 160 ล้านบาท ทั้ง 3 โครงการอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง พร้อมเปิดขายในไตรมาส 4
“ปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% จากในปี 2559 ที่มีรายได้รวม 1,246 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ แนวราบ 704 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 179 ล้านบาท และอสังหาฯเพื่อเช่า 363 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 2559 ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ เป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว”
ส่วนธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งให้บริการภายใต้แบร

นด์ “สัมมากร เพลส” 3 สาขา ประกอบด้วย สาขารามคำแหง รังสิตคลอง 2 และราชพฤกษ์ ได้ใช้งบ 30 ล้านบาท ในการปรับปรุงพื้นที่ และอาคารให้ทันสมัยขึ้น เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ โดยวางแผนปรับปรุงผังร้านค้าผู้เช่าให้ตอบสนองพฤติกรรม และความต้องการของลูกค้า เพราะคอมมูนิตี้มอลล์มีการแข่งขันค่อนข้างสูง และที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบัน”สัมมากร เพลส” 3สาขา มีอัตราการเช่าพื้นที่ 95% และคาดว่ารายได้คอมมูนิตี้มอลล์ในปีนี้จะมีสัดส่วนที่ 10%ของรายได้รวม
แหล่งข่าวที่มา: ดีดีพร๊อพเพอร์ตี้